อินู๋หนิง

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ต้นไม้และดอกไม้ประจำจังหวัดต่างๆของไทย

ดอกไม้และต้นไม้ประจำจังหวัด

ราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติ และต้นไม้ประจำชาติไทย

แล้วมีใครรู้บ้างเอ่ย ว่าแต่ละจังหวัดก็มีดอกไม้ประจำจังหวัดเช่นกัน
นึกออกไหมว่า ดอกไม้และต้นไม้ประจำจังหวัดของคุณคืออะไร

ถ้านึกไม่ออก รวบรวมมาฝากค่ะ (บางจังหวัดไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัดนะคะ)


ภาคเหนือ

1. จังหวัดกำแพงเพชร
ดอกพิกุล
ต้นสีเสียดแก่น

2. จังหวัดเชียงราย
ดอกพวงแสด
ต้นกาสะลองคำ

3. จังหวัดเชียงใหม่
ดอกทองกวาว
ต้นทองกวาว

4. จังหวัดตาก
ดอกเสี้ยวดอกขาว
ต้นแดง

5. จังหวัดนครสวรรค์
ดอกเสลา
ต้นเสลา

6. จังหวัดน่าน
ดอกเสี้ยวดอกขาว
ต้นกำลังเสือโคร่ง

7. จังหวัดพะเยา
ดอกสารภี
ต้นสารภี

8. จังหวัดพิจิตร
ดอกบัวหลวง
ต้นบุนนาค

9. จังหวัดพิษณุโลก
ดอกนนทรี
ต้นปีบ

10. จังหวัดเพชรบูรณ์
ดอกมะขาม
ต้นมะขาม

11. จังหวัดแพร่
ดอกยมหิน
ต้นยมหิน

12. จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ดอกบัวตอง
ต้นกระพี้จั่น

13. จังหวัดลำปาง
ดอกธรรมรักษา
ต้นกระเจา

14. จังหวัดลำพูน
ดอกทองกวาว
ต้นจามจุรี

15. จังหวัดสุโขทัย
ดอกบัวหลวง ต้นตาลโตนด (ต้นไม้พระราชทานคือ มะค่าโมง)

16. จังหวัดอุตรดิตถ์
ดอกประดู่
ต้น

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 

1. จังหวัดกาฬสินธุ์
ดอกพะยอม
ต้นมะหาด

2. จังหวัดขอนแก่น
ดอกราชพฤกษ์
ต้นกัลปพฤกษ์

3. จังหวัดชัยภูมิ
ดอกกระเจียว
ต้นขี้เหล็กบ้าน

4. จังหวัดนครพนม
ดอกกันเกรา
ต้นกันเกรา

5. จังหวัดนครราชสีมา
ดอกสาธร
ต้นสาธร

6. จังหวัดบุรีรัมย์
ดอกสุพรรณิการ์ (ฝ้ายคำ)
ต้นแป๊ะ (ต้นไม้พระราชทานคือ ต้นกาฬพฤกษ์)

7. จังหวัดมหาสารคาม
ดอกลั่นทมขาว
ต้นพฤกษ์ (มะรุมป่า)

8. จังหวัดมุกดาหาร
ดอกช้างน้าว
ต้นช้างน้าว

9. จังหวัดยโสธร
ดอกบัวแดง
ต้นกระบาก

10. จังหวัดร้อยเอ็ด
ดอกประดู่
ต้นกระบก,อินทนิลบก

11. จังหวัดเลย
ดอกรองเท้านารีเหลืองเลย
ต้นสนสามใบ

12. จังหวัดศรีสะเกษ
ดอกลำดวน
ต้นลำดวน

13.จังหวัดสกลนคร
ดอกอินทนิลน้ำ
ต้นอินทนิลน้ำ

14. จังหวัดสุรินทร์
ดอกกันเกรา
ต้นกันเกรา (ต้นไม้พระราชทานคือ มะค่าแต้)

15. จังหวัดหนองคาย
ดอกชิงชัน
ต้นชิงชัน

16. จังหวัดหนองบัวลำภู
ดอกบัวหลวง
ต้นตะเคียนพะยูง

17. จังหวัดอุดรธานี
ดอกทองกวาว
ต้นรัง

18.จังหวัดอุบลราชธานี
ดอกบัวหลวง
ต้นยางนา

19. จังหวัดอำนาจเจริญ
ดอกทองกวาว
ต้นตะเคียนหิน



ภาคกลาง 

1. จังหวัดกรุงเทพมหานคร
ไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัด
ต้นไทรย้อยใบแหลม

2. จังหวัดกาญจนบุรี
ดอกกาญจนิกา
ต้นขานาง

3. จังหวัดฉะเชิงเทรา
ดอกนนทรี
ต้นนนทรีป่า

4. จังหวัดชัยนาท
ดอกชัยพฤกษ์
ต้นมะตูม

5. จังหวัดนครนายก
ดอกสุพรรณิการ์
ต้นสุพรรณิการ์

6. จังหวัดนครปฐม
ดอกจันทร์หอม
ต้นจันทน์หอม

7. จังหวัดนนทบุรี
ดอกนนทรี
ต้นนนทรีบ้าน

8. จังหวัดปทุมธานี
ดอกบัวหลวง
ต้นปาริชาติ (ทองหลางลาย)

9. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ดอกเกด
ต้นเกด

10. จังหวัดปราจีนบุรี
ดอกปีบ
ต้นศรีมหาโพธิ์

11. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ดอกโสน
ต้นหมัน

12. จังหวัดเพชรบุรี
ไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัด
ต้นหว้า

13. จังหวัดราชบุรี
ดอกกัลปพฤกษ์
ต้นโมกมัน

14. จังหวัดลพบุรี
ดอกพิกุล
ต้นพิกุล

15. จังหวัดสมุทรปราการ
ดอกดาวเรือง
ต้นโพทะเล

16. จังหวัดสมุทรสงคราม
ดอกจิกทะเล
ต้นจิกทะเล

17. จังหวัดสมุทรสาคร
ไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัด
ต้นพญาสัตบรรณ

18. จังหวัดสระแก้ว
ดอกแก้ว
ต้นมะขามป้อม

19. จังหวัดสระบุรี
ดอกสุพรรณิการ์
ต้นตะแบกนา

20. จังหวัดสิงห์บุรี
ไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัด
ต้นมะกล่ำต้น

21.จังหวัดสุพรรณบุรี
ดอกสุพรรณิการ์
ต้นมะเกลือ

22. จังหวัดอ่างทอง
ไม่มีดอกไม้ประจำจังหวัด
ต้นมะพลับ

23.จังหวัดอุทัยธานี
ดอกสุพรรณิการ์
ต้นสะเดา

ภาคตะวันออก
1. จังหวัดชลบุรี
ดอกประดู่
ต้นประดู่ป่า

2. จังหวัดระยอง
ดอกประดู่
ต้นประดู่ (ต้นไม้พระราชทานคือ สารภีทะเล)

3. จังหวัดตราด
ดอกกฤษณา
ต้นหูกวาง

4. จังหวัดจันทบุรี
ดอกเหลืองจันทบูร
ต้นจัน,สำรอง



ภาคใต้

1. จังหวัดกระบี่
ดอกทุ่งฟ้า
ต้นทุ้งฟ้า

2. จังหวัดชุมพร
ดอกพุทธรักษา
ต้นมะเดื่อชุมพร

3. จังหวัดตรัง
ดอกศรีตรัง
ต้นศรีตรัง

4. จังหวัดนครศรีธรรมราช
ดอกราชพฤกษ์
ต้นแซะ

5. จังหวัดนราธิวาส
ดอกบานบุรี
ต้นตะเคียนชันตาแมว

6. จังหวัดปัตตานี
ดอกชบา
ต้นตะเคียนทอง

7. จังหวัดพังงา
ดอกจำปูน
ต้นเทพธาโร

8. จังหวัดพัทลุง
ดอกพะยอม
ต้นพะยอม

9. จังหวัดภูเก็ต
ดอกเฟื่องฟ้า
ต้นประดู่บ้าน

10. จังหวัดยะลา
ดอกพิกุล
ต้นศรียะลา

11. จังหวัดระนอง
ดอกโกมาชุม
ต้นอินทนิล (ต้นไม้พระราชทานคือ ต้นอบเชย)

12. จังหวัดสงขลา
ดอกเฟื่องฟ้า
ต้นสะเดาเทียม

13. จังหวัดสตูล
ดอกกาหลง
ต้นหมากพลูตั๊กแตน (ต้นไม้พระราชทานคือ ต้นกระซิก)

14. จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ดอกบัวผุด
ต้นเคียม

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แกรมโต กล้วยไม้ยักษ์

ตลาดต้นไม้ รังสิตคลอง 15

มุขจีบผู้ชาย

เพลง วน พี่อัทธ์ (ชอบส่วนตัวอิอิ)

คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม



คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติความเป็นมา

       คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นหน่วยงานในกำกับของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยการยกร่างหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต (ศศ.บ.)สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตร 4 ปี) ในปีพุทธศักราช 2543-2544  ภายใต้ชื่อ "โครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม" เปิดรับนิสิตรุ่นแรก ในระบบพิเศษและระบบพิเศษโดยวิธีเทียบเข้า ในเดือนมิถุนายน 2544

ปีการศึกษา 2544
    - มีนิสิตรุ่น 1 จำนวน 185 คน
    - มีอาจารย์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอน จำนวน 11 คน
    - มีนายธเนศ ศรีสถิตย์ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง โครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการคณบดี ต่อมาโครงการจัดตั้งคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติการจัดตั้ง "คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม" (Faculty of Tourism and Hotel Management) ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 10/2547 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 และอนุมัติให้ใช้ระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคามว่าด้วยคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม พุทธศักราช 2547 ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายธเนศ ศรีสถิตย์ ดำรงตำแหน่งคณบดี คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม

ปีการศึกษา 2547
       คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการเปิดสอนตามหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต พุทธศักราช 2544 สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตร 4 ปี)
    - มีนิสิตรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,096 คน
    - อาจารย์ จำนวน 16 คน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอนจำนวน 14 คน
    - มีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นบัณฑิตรุ่นที่ 1 (ชบาช่อที่ 1) จำนวน 116 คน

ปีพุทธศักราช 2549
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรใหม่ จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่
      หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) และได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549   คณะฯ ได้ดำเนินการเปิดสอนนิสิตระดับปริญญาตรี (หลักสูตรนานาชาติ ) ในปีการศึกษา 2550 มีนิสิต รุ่นที่ 1 จำนวน 13 คน

      และใน ปีพุทธศักราช 2549 คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา 1 หลักสูตร ได้แก่หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต(ศศ.ม.) สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2550) พุทธศักราช 2550 (ศศ.ม.) ได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรปรับปรุงพุทธศักราช 2550) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549

ปีพุทธศักราช 2549-2550
       คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม พุทธศักราช 2544 และได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อนุมัติหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรปรับปรุงพุทธศักราช 2550) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550

ปีพุทธศักราช 2550
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้ดำเนินการยกร่างหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่
      หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(ปร.ด.) สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2550) โดยสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรนี้แล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมได้ดำเนินการเปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษาในปีการศึกษา 2550 พร้อมกันทั้ง 2 หลักสูตร โดยมีนิสิตระดับบัณฑิตศึกษารุ่นที่ 1 จำนวน 25 คน

ปีพุทธศักราช 2551
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม จัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี 2 หลักสูตร ได้แก่
      - หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรปรับปรุง พุทธศักราช 2550)  
      - หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม (หลักสูตรนานาชาติ /หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549)
      ระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่
      - หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต(ปร.ด.) สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่พุทธศักราช 2550)
      - หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต(ศศ.ม.) สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม(หลักสูตรใหม่ พุทธศักราช 2549)
       มีนิสิตรวมทั้งสิ้น จำนวน 2,215 คน จำแนกเป็น ระดับปริญญาตรีจำนวน 2,158 คน ระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 57 คน
       บุคลากร จำนวน 55 คน จำแนกเป็น บุคลากรฝ่ายวิชาการ จำนวน 36 คน บุคลากรฝ่ายสนับสนุนการเรียนการสอน จำนวน 19 คน


ทำเนียบคณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม (2544-ปัจจุบัน)

          1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรเชษฏ์ เชษฐมาส            คณบดี                                 พ.ศ. 2552-ปัจจุบัน
          2. อาจารย์ยุวดี ตปนียากร                                รักษาการคณบดี                    พ.ศ. 2551-2552(2 เดือน)
          3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาติ มณีโชติ                คณบดี                                 พ.ศ. 2552(2 เดือน)
          4. อาจารย์ยุวดี ตปนียากร                                รักษาการคณบดี                    พ.ศ. 2552
          5. อาจารย์ธเนศ ศรีสถิตย์                                คณบดี                                 พ.ศ. 2547-2551
          6. อาจารย์ธเนศ ศรีสถิตย์                                รักษาการคณบดี                    พ.ศ. 2544-2547


ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ

ปรัชญา
แหล่งองค์ความรู้ เชิดชูวัฒนธรรมอีสาน วิชาชีพชำนาญ พัฒนาการสู่สากล

วิสัยทัศน์

เสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ ให้สามารถผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ ความสามารถในวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม สร้างสรรค์งานวิจัยและให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ควบคู่ไปกับการทำนุบำรุงและเชิดชูศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมก้าวย่างสู่ความสากลอย่างมั่นใจ

พันธกิจ

พัฒนาและจัดการการศึกษาด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมเพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตามกรอบมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
วิจัยเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน
ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศ
ทำนุบำรุง ฟื้นฟู เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
เป็นศุนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมอนุภาคลุ่มน้ำโขง
พัฒนาระบบการบริหารองค์กรตามหลักบริหารจัดการที่ดีสามารถขับเคลื่อนพันธกิจด้านต่างๆไปสู่ความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


ไฟล์:Logomsu12.png

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตั้งอยู่ในจังหวัดมหาสารคาม เดิมเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของประเทศไทย

ประวัติ
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ที่ตั้งเดิม ซึ่งตั้งอยู่ที่ 269 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม บนพื้นที่ 197 ไร่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการศึกษาชั้นสูงไปสู่ภูมิภาค ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เมื่อปีพุทธศักราช 2517 และได้แยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศภายใต้ชื่อ "มหาวิทยาลัยมหาสารคาม" เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 111 ตอนที่ 54 ก นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของ ประเทศไทย

อันดับมหาวิทยาลัย
การจัดอันดับโดย เว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก โดยบ่งบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ของสถาบัน เพื่อใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ในการประเมินผลงานวิจัยของสถาบัน ซึ่งทางเว็บโอเมตริกซ์ได้จัดอันดับปีละ 2 ครั้งในเดือนมกราคม และกรกฎาคม ล่าสุดเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อยู่ในอันดับที่ 1,101 ของโลก อันดับที่ 26 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับที่ 13 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย

สัญลักษณะประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไฟล์:Color.jpgไฟล์:Amaltas (Cassia fistula) in Hyderabad, AP W IMG 7137.jpg



สีเหลือง-เทา                         ราชพฤกษ์ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย
สีประจำมหาวิทยาลัย

ตราประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คือ ตราโรจนากร ซึ่งมีความหมายว่า สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นรูปใบเสมา
ภายในมีภาพขององค์พระธาตุนาดูน ด้านล่างเป็นสุริยรังสีที่แผ่ขึ้นจากผ้าลายขิตซึ่งอยู่เหนือคำขวัญภาษาบาลี
" พหูนํ ปณฺฑิโต ชีเว " หมายความว่า ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน
ใบเสมา หมายถึง ภูมิปัญญา
พระธาตุนาดูน หมายถึง คุณธรรมความดี
สุริยรังสี หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
ลายขิต หมายถึง ภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมแห่งอีสาน
ความหมายโดยรวม คือ ความเจริญรุ่งเรืองอันเป็นผลจากความรู้และคุณธรรม ผสมผสานกับภูมิปัญญาแห่งท้องถิ่นอีสาน
ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ
สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีเหลือง - เทา
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความดีงาม ความอุดมสมบูรณ์
สีเทา หมายถึง ความคิด หรือ ปัญญา
สีเหลือง - เทา จึงหมายถึง การมีปัญญาและความคิดที่ดีงาม อันนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
วาทกรรมอัตลักษณ์ประชาคม มมส คือ ลูกพระธาตุนาดูน ดอกคูนผลิช่อ มอน้ำชี ศรีโรจนากร

เพลง นิรันดร์

เกาะช้าง

เกาะช้าง



เกาะช้าง หรือ อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะช้าง
แนะนำ ที่พักเกาะช้าง

เกาะช้าง เป็นเกาะที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ เกาะช้างมีพื้นที่กว่า 268,125 ไร่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอ่าวไทยและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากภูเก็ต เกาะช้างที่ผมพูดถึงคือ เกาะช้าง เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จ.ตราด นะครับ ไม่ใช่ เกาะช้างที่อยู่ทะเลอันดามัน จ.ระนอง (ระวังจะสับสน)

เกาะช้าง ประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน คือ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่เกาะช้างอีกด้วย ภายในเกาะจะเป็นสวนยางพารา และผลไม้

   เกาะช้าง   
 
ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่เขาสลักเพชร มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดน้ำตก ลำธารหลายสาย ชายหาดสวย มีอยู่มากมาย ตามชายฝั่งตะวันตก ที่ดังๆ หน่อยก็ได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ ทั้งสามหาดมี รีสอร์ทตั้งอยู่เรียงรายริมหาดมากมาย ตั้งแต่ ราคา หลังละ 200 กว่า บาท ถึง 5,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ยังมีเกาะเล็กๆ รายล้อม อันได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะกระ เการัง เกาะมันนอก เกาะมันใน เกาะกระดาด เกาะหมาก เกาะขาม ฯลฯ ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาล เกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้มัก เสนอแต่แพคเก็จทัวร์ ปัจจุบันมีทัวร์รูปแบบต่างๆ มากมายนอกจากการเล่นน้ำทะเลเที่ยวเกาะ เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขี่ช้างท่องไพร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือพักโฮมสเตย์กับหมู่บ้านชาวประมง

ด้วยความสมบูรณ์แห่งแหล่งท่องเที่ยว เราจึงสามารถท่องเที่ยวเกาะช้างได้ทุกฤดูกาล

สถานที่ท่องเที่ยวเกาะช้าง


 หาดทรายขาว
หาดทรายขาว เป็นหาดที่มีระยะทางยาว 6 กม. มีบังกะโลตั้งอยู่หลายแห่ง มีถนนรอบเกาะตัดชิดหาดมากที่สุด สามารถเล่นน้ำได้ แต่บางช่วงของหาดจะต่างระดับ ลึกตื้นไม่เท่ากัน  เลียบชายหาดมี โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบริเวณอื่นๆ


หาดคลองพร้าว-แหลมไชยเชษฐ์
หาดคลองพร้าว เป็นหาดทรายที่มีความยาวมาก ติดต่อกับหาดไก่แบ้หาดทราย บริเวณนี้มีความลาดมากสามารถเล่นน้ำได้ มีบังกะโลให้เช่าพักหลายแห่ง ห้องพักที่ได้มาตรฐาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ไม่แพ้หาดทรายขาว หาดแห่งนี้นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมาเล่นกิฬาทางน้ำ กิจกรรมชาตหาดเป็นจำนวนมาก ตอนเหนือสุดของอ่าวคลองพร้าว ติดต่อกับอ่าวไชยเชษฐ์ และแหลมไชยเชษฐ์ ซึ่งมีแหลมหิน มีทัศนียภาพสวยงาม แต่ไม่สามารถเล่นน้ำได้
สำหรับแหลมไชยเชษฐ์เป็นแหล่งที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง

หาดไก่แบ้
หาดไก่แบ้ เป็นหาดทรายที่มีความลาดพอสมควร สามารถเล่นน้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย ชายหาดมีลักษณะลาดลงทะเลทีละน้อย เกาะที่เห็นคือ เกาะจระเข้วางตัวเหนือท้องน้ำสีคราม นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือคายัคไปได้ หาดไก่เบ้ มีบังกะโล ราคาประหยัดให้เช่าหลายแห่ง เป็นที่นิยมอาบแดดของชาวต่างชาติ โรงแรงระดับหรูที่นิยมคือ ซีวิวรีสอร์ทอยู่บนเนินปลายสุดของหาด

ศูนย์กลางหาดอยู่บริเวณ ไก่เบ้บีช มีร้านค้า ร้านอาหาร เช่ารถ และเป็นที่จอดคิดรถสองแถว บริเวณใกล้เคียงหาด เราจะมองเห็น เกาะมันใน(ตามรูป) เกาะมันนอก และเกาะหยวก

อ่าวใบลาน 
อ่าวใบลาน เป็นหาดเงียบสงบ อยู่ระหว่างหาดไก่เบ้ และหมู่บ้านบางเบ้า เป็นหาดยาวประมาณ 12 กม. เล่นน้ำได้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาอาบแดด เล่นน้ำตากลม กันที่นี่

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ดอกไม้ประจำวันเกิด


ดอกไม้ประจำวันเกิด


          วันนี้เรามีดอกไม้ ประจำวันเกิดมาให้อ่านกันค่ะ … ใครเกิดวันไหน ตรงกับต้นไม้ หรือดอกไม้อะไรก็อย่าลืมไปหามาปลูกนะคะ

เกิดวันอาทิตย์  

          ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม

          ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์

          คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย

เกิดวันจันทร์  

          ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี

          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

เกิดวันอังคาร  

          ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข

          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เกิดวันพุธ 

          ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรักสันติภาพ

          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชนิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน

เกิดวันพฤหัสบดี  

          ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ

          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

เกิดวันศุกร์  

          ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน

          ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอเลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง

เกิดวันเสาร์  

          จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด

          ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับดอกบัว


ดอกบัว

บัว  พันธุ์ไม้น้ำที่ถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและคุณงามความดีในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัว  เป็น 4 เหล่าคือ  บัวในโคนตม  บัวใต้น้ำ  บัวปิ่มน้ำ  และบัวเหนือน้ำ  บัวเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ดูสง่างาม  ดอกมีขนาดใหญ่  มีสีสันสวยงาม  เด่นสะดุดตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็น  บางชนิดมีกลิ่นหอมน่าชื่นชม  ด้วยเหตุนี้เองบัวจึงได้รับสมญาว่า "ราชินีแห่งไม้น้ำ"


บัว  เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ Nymphaeaceae จัดเป็นพืชน้ำล้มลุกที่มีอายุหลายปี  พบได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อน เขตอบอุ่นและเขตหนาว  จำแนกถิ่นกำเนิดและการเจริญเติบโตได้ 2 จำพวกคือ

1.บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตอบอุ่นและเขตหนาว (Subtropical and Temperate Zones)  เช่น  ยุโรป  อเมริกาเหนือ  ภาคใต้ของอเมริกาใต้  ตอนเหนือของอินเดีย  จีนและออสเตรเลีย   บัวประเภทนี้มีเหง้าสะสมอาหารอยู่ในดิน  เมื่อถึงฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง  จะทิ้งใบและอาศัยอาหารในเหง้าเลี้ยงตัวเอง  เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิน้ำแข็งละลายหมดก็จะเจริญแตกหน่อต้นใหม่ และจะเจริญเติบโตออกดอกออกผลหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป  เรียกบัวประเภทนี้ว่า Hardy Type หรือ Hardy Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Castalia Group หรือ อุบลชาติประเภทยืนต้น
2.บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตร้อน (Tropical Zones)  เช่น  ทวีปเอเซียตอนกลางและตอนใต้  อาฟริกา  ออสเตรเลียตอนเหนือ  อเมริกากลางและอเมริกาใต้  บัวประเภทนี้กำเนิดและเจริญเติบโตได้ในเขตร้อนเขตเดียว  ถ้านำไปปลูกในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว เมื่อเข้าฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นน้ำแข็งทำให้บัวประเภทนี้ต้องตายไป  จึงเรียกบัวประเภทนี้ว่า Tropical Type หรือ Tropical Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Lotus Group หรือ อุบลชาติประเภทล้มลุก
ลักษณะโดยทั่วไป

บัวเป็นพืชน้ำล้มลุก  ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็น เหง้า ไหล หรือหัว  ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น  โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ  บางชนิดมีก้านใบติดอยู่ที่หลังใบ  ดอกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  กลีบดอกมีทั้งชนิดซ้อนและไม่ซ้อน  มีสีสันแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด  บัวที่พบและนิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 3 สกุล คือ

1.สกุลบัวหลวง (Lotus)  เป็นบัวในสกุล Nelumbo มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ปทุมชาติ หรือ บัวหลวง  มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชีย เช่น  จีน  อินเดียและไทย  มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าและไหลซึ่งเมื่อยังอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาว  เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วนเนื่องจากสะสมอาหารไว้มาก  มีข้อปล้องเป็นที่เกิดของราก  ใบและดอกเกิดจากหน่อที่ข้อปล้องแล้วเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะกลมใหญ่สีเขียวอมเทา  ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ  เมื่อใบยังอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ  ส่วนใบแก่จะช฿พ้นน้ำ  ก้านใบและก้านดอกมีหนาม  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ  มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม  บานในเวลากลางวันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  ด้านนอกมีสีเขียว  ด้านในมีสีเดียวกับกลีบดอก  กลีบดอกมีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน  สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว ชมพู หรือเหลือง แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์  บัวในสกุลนี้เป็นบัวที่รู้จักกันดีเพราะเป็นบัวที่มีดอกใหญ่นิยมนำมาไหว้พระและใช้ในพิธีทางศาสนา  เหง้าหรือที่มักเรียกกันว่ารากบัวและไหลบัวรวมทั้งเมล็ดสามารถนำมาเป็นอาหารได้
2.สกุลบัวสาย (Waterlily)  เป็นบัวในสกุล Nymphaea มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า อุบลชาติ หรือ บัวสาย  บัวสกุลนี้มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า  ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อและเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด  บางชนิดมีใบใต้น้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยว  มีขอบใบทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น  ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน  ด้านล่างมีขนละเอียดหรือไม่มี  ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน  บางชนิดมีกลิ่นหอม  มีสีสันหลากหลายแตกต่างกันไป
3.สกุลบัววิกตอเรีย (Victoria)  เป็นบัวในสกุล Victoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่  ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ  ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม  ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง  มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่  ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม  บานเวลากลางคืนและมีกลิ่นหอม  ดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 4 กลีบ ด้านนอกมีสีเขียวด้านในสีเดียวกับกลีบดอก  เมื่อเริ่มบานกลีบดอกจะมีสีขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูต่อไป


   การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา

ดิน  ที่เหมาะในการใช้ปลูกบัวคือ ดินเหนียว ดินท้องร่องที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง  ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ยังย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเสียและอาจทำให้ต้นเน่าได้

น้ำ  ต้องเป็นน้ำที่สะอาด  ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-8.0  อุณหภูมิควรอยู่ระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส ไม่ควรเกิน 50 องศาเซลเซียส  ระดับความลึกของน้ำที่บัวต้องการแบ่งเป็น 3 ระดับ  คือ

น้ำตื้น  คือบัวที่ต้องการน้ำลึกระหว่าง 15-30 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 50X50 ซม.
น้ำลึกปานกลาง  คือบัวที่ต้องการความลึกระหว่าง 30-60 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 1X1 เมตร
น้ำลึกมาก  คือบัวที่ต้องการความลึกของน้ำอยู่ระหว่าง 60-120 ซม
ระดับน้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของบัวสังเกตุได้จาก  ก้านดอกจะส่งดอกตั้งตรงในแนวดิ่ง  ก้านใบไม่ควรแผ่กว้างกว่า 45 องศา

แสงแดด  บัวเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด  จึงควรให้บัวได้รับแสงแดดเต็มที่วันละ 4 ซม. เป็นอย่างน้อย  ถ้าปลูกบัวในที่ร่มเกินไปบัวจะออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอกเลย

การให้ปุ๋ย  เมื่อเห็นว่าบัวที่ปลูกชะงักการเจริญเติบโต  ใบเล็กลงกว่าปกติ  ใบด้านขาดความมัน เหลือง แก่เร็วขึ้น  แสดงว่าบัวขาดธาตุอาหารหรือปุ๋ย  วิธีการให้ปุ๋ยบัวจะแตกต่างกับการให้ปุ๋ยพืชชนิดอื่นคือ   ต้องทำปุ๋ย "ลูกกลอน"  โดยนำปุ๋ยสูตรเสมอ 10-10-10 หรือ 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา ห่อด้วยดินเหนียวแล้วปั้นเป็นลูกกลอนผึ่งลมให้แห้ง  ถ้าปลูกบัวไม่มากอาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แทนดินเหนียว  ห่อ 2-3 ชั้น  นำปุ๋ยลูกกลอนที่ทำไว้ฝังห่างจากโคนต้นประมาณ 5-8 ซม.  สำหร้บบัวเผื่อน บัวสาย และจงกลณีที่มีการเจริญเติบโตในทางดิ่งให้ฝังด้านใดก็ได้  แต่สำหรับบัวหลาง บัวฝรั่ง และอุบลชาติ  ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแนวนอนให้ฝังด้านหน้าแนวการเจริญเติบโตของเหง้าหรือไหล

โรคและแมลงศัตรู

-โรคใบจุด  เกิดจากเชื้อรา  ระบาดมากในช่วงฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศมีความชื้นสูง  มักเกิดบนใบบัวที่แก่  อาการของโรคจะเป็นแผลหรือจุดวงกลมสีเหลือง  เมื่อแผลขยายกว้างจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล   ตรงกลางแผลแห้ง  ป้องกันและแก้ไขโดยเด็ดใบที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง
-โรคเน่า  มักเกิดกับบัวกลุ่มอุบลชาติและบัวกระด้ง  สาเหตุเกิดจากดินที่ใช้ปลูกมีมูลสัตว์ที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมด  ทำให้หัว เหง้า หรือโคนต้นเละ  ต้นแคระแกนและตาย  เมื่อเห็นว่าต้นแสดงอาการควรรีบนำต้นขึ้นมาตัดส่วนที่เน่าทิ้ง  เปลี่ยนดินปลูกใหม่  หรือเก็บต้นและดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสีย
-เพลี้ยไฟ  มักเกิดกับบัวที่ยังอ่อนอยู่  ทำให้ใบหงิกไม่คลี่  ด้านหลังใบจะมีรอยช้ำเป็นสีชมพูเรื่อๆ  ต่อมาจะแห้งและดำ  ถ้าเข้าทำลายดอกและก้านดอกจะทำให้ดอกที่ตูมอยู่เหี่ยวและแห้งเป็นสีดำ   ก้านดอกแห้งเป็นสีน้ำตาลและหักง่าย
-เพลี้ยอ่อน  จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณโคนก้านดอก  ก้านใบ  และใบอ่อนที่โผล่เหนือน้ำ  ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลดำ  ทำให้ดอกตูมและใบมีขนาดเล็ก  สีเหลืองซีดและแห้งตาย
-หนอน  ได้แก่  หนอนชอนใบ , หนอนกระทู้ , หนอนผีเสื้อ , หนอนกอ  จะดูดน้ำเลี้ยงและกัดกินใบบัว  หนอนและแมลงที่กล่าวมาสามารถกำจัดและควบคุมได้โดยใช้  โมโนโครโตฟอส (Monocrotophos) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า อะโซดริน60 (Azodrin60)  มาลาไธออน (Malathion) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า มาลาเฟซ (Malafez)  โดยใช้ในอัตรา 1 ซีซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ สัปดาห์จนกว่าหนอนและแมลงศัตรูจะหมด
-หอย  จะเป็นตัวบอกว่าน้ำในบ่อดีหรือเสีย  ถ้าน้ำเสียออกซิเจนในน้ำมีไม่เพียงพอหอยจะลอยตัวหรือเกาะอยู่ตามขอบบ่อเพื่อหาออกซิเจนหายใจ  ถ้าเป็นเช่นนี้ให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อปลูก  แต่ถ้าในบ่อมีหอยมากเกินไปหอยจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนหรือทำให้ก้านใบขาดได้  จึงควรกำจัดออกบ้างโดยการเก็บออก  หรือถ้าปลูกในบ่อที่มีขนาดใหญ่อาจจะเลี้ยงปลาช่อนให้ช่วยกินตัวอ่อนของหอยก็ได้


การขยายพันธุ์

การแยกเหง้า  บัวในเขตอบอุ่นและเขตหนาวที่มีลำต้นเป็นแบบเหง้าสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีแยกหน่อหรือต้นอ่อนจากเหง้าต้นแม่ไปปลูก  โดยตัดแยกเหง้าที่มีหน่อหรือต้นอ่อนยาว 5-8 ซม. ตัดรากออกให้หมด  ถ้าเป็นต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกยังที่ต้องการได้เลย  ถ้าเป็นหน่อให้นำไปปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม.  ฝังดินให้ลึกประมาณ 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  เทน้ำให้ท่วมประมาณ 8-10 ซม.  ดินที่ใช้ควรเป็นดินเหนียวเพื่อช่วยจับเหง้าไม้ให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ  เมื่อหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่จึงย้ายไปปลูกยังที่ต้องการ

การแยกไหล  บัวในเขตร้อนโดยเฉพาะบัวหลวงจะสร้างไหลจากหัวหรือเหง้าของต้นแม่แล้วไปงอกเป็นต้นใหม่  สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีตัดเอาไหลที่มีหน่อหรือปลิดต้นใหม่จากไหลไปปลูก  การตัดไหลที่มีหน่อไปปลูกควรตัดให้มีขนาดความยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาประมาณ 3 ตา  นำไหลที่ตัดฝังดินให้ลึก 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  ต้นอ่อนจะขึ้นจากตาและเจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป

การแยกต้นอ่อนที่เกิดจากใบ  บัวในเขตร้อนสกุลบัวสายบางชนิดจะแตกต้นอ่อนบนใบบริเวณกลางใบตรงจุดที่ต่อกับก้านใบหรือขั้วใบ  สามารถขยายพันธุ์ได้โดยตัดใบที่มีต้นอ่อนโดยตัดให้มีก้านใบติดอยู่ 5-8 ซม.  เสียบก้านลงในภาชนะที่ใช้ปลูกให้ขั้วใบที่มีต้นอ่อนติดกับผิวดิน  ใช้อิฐหรือหินทับแผ่นใบไม่ให้ลอย  เติมน้ำให้ท่วมยอด 6-10 ซม.  ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนจะแตกรากยึดติดกับผิวดินและเจริญเติบโตต่อไป

การเพาะเมล็ด  การขยายพันธุ์วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมปฏิบัติเนื่องจากยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน  ยกเว้นบัวกระด้งที่ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดเท่านั้น  นอกจากนี้การเพาะเมล็ดมักนิยมใช้กับเมล็ดบัวที่ได้จากการผสมพันธุ์บัวขึ้นมาใหม่แล้วเก็บเอาเมล็ดนำมาเพาะ  เพื่อสะดวกในการคัดแยกพันธุ์  วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้  เตรียมดินเหนียวที่ไม่มีรากพืช  ใส่ลงในภาชนะปากกว้างที่มีความลึกประมาณ 25-30 ซม.  โดยไส่ดินให้สูงอย่างน้อย 10 ซม. ปรับแต่งหน้าดินให้เรียบและแน่น  เติมน้ำให้สูงจากหน้าดินประมาณ 7-8 ซม.  นำเมล็ดที่จะใช้เพาะโรยกระจายบนผิวน้ำให้ทั่ว  เมล็ดจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำ  สำหรับเมล็ดบัวหลวงและบัวกระด้งเมล็ดมีขนาดใหญ่  ให้กดเมล็ดให้จมลงไปในดินแล้วเติมน้ำให้สูงจากผิวดินประมาณ 15 ซม.  นำภาชนะที่เพาะไปไว้ในที่มีแดดรำไร  ประมาณ 1 เดือน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน  เมื่อต้นอ่อนแข็งแรงและมีใบประมาณ 2-3 ใบ จึงแยกนำไปปลูกยังที่ต้องการ
การผสมพันธุ์

ดอกบัวจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน  เกสรตัวเมียจะบานก่อนเกสรตัวผู้ 1-2 วัน  ดังนั้นเกสรตัวเมียจึงมักได้รับการผสมพันธุ์จากเกสรตัวผู้ของดอกอื่น  โดยมีลมและแมลงเป็นตัวช่วยในการผสมพันธุ์แต่การผสมพันธุ์บัวเพื่อให้ได้บัวพันธุ์ใหม่ที่มีสีสวยแปลกออกไปและเพื่อเป็นการพัฒนาสายพันธุ์จึงมักเป็นการผสมพันธุ์โดยมนุษย์ช่วยผสมพันธุ์  โดยคัดเลือกบัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่จะนำมาผสม  ก่อนดอกแม่บาน 1-2 วัน ให้ทำการเปิดดอกแล้วใช้กรรไกรขลิบตัดเกสรตัวผู้ออกให้หมดแล้วคลุมดอกด้วยผ้ามุ้งตาถี่ๆ เพื่อกันเกสรตัวผู้จากดอกอื่นที่ไม่ต้องการเข้ามาผสม  เมื่อดอกแม่บานให้ขลิบตัดเอาเกสรตัวผู้จากดอกต้นพ่อพันธุ์และควรเป็นดอกที่บานแล้วประมาณ 2 วัน มาใส่บนเกสรตัวเมียของดอกแม่แล้วคลุมด้วยผ้ามุ้งตามเดิม  ดอกแม่เมื่อได้รับการผสมแล้วถ้าผสมไม่ติดดอกจะลอยอยู่ปริ่มน้ำแล้วจะโรยไป  ถ้าผสมติดดอกจะเริ่มกลายเป็นฝักโดยดอกจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์  เมื่อดอกเจริญเป็นฝักแก่และมีเมล็ดแก่ก็จะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำใหม่อีกครั้ง  จึงเก็บเอาฝักแก่มาแยกเอาเมล็ดนำไปเพาะเมล็ดต่อไป

เพลงเพราะๆMVก็น่ารัก

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

สรรพคุณทางยาของดอกไม้


ดอกไม้ คือ ตู้ยาที่อยู่รอบบ้าน
          ความสวยงามของดอกไม้ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ให้มนุษย์เด็ดมาชื่นชมหรือมีไว้เพื่อล่อแมลงให้มานำเกษรไปผสมเพื่อขยายพันธ์เท่านั้น  แต่ยังมีประโยชน์หลายอย่างที่ เรา ๆ ท่าน ๆ ไม่เคยรู้มาก่อน สิ่งที่จะนำมาเผยแพร่ต่อไปนี้เป็นภาคต่อของประโยชน์ที่ได้รับจากดอกไม้   นอกจากนำมาเป็นชาดอกไม้



       " สรรพคุณทางยา"  มีดอกไม้หลายชนิดที่เราคาดไม่ถึงคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในตัวมันเอง   ลองเดินดูรอบ ๆ บ้านท่าน รอบ ๆ สวน   แล้วมาอ่านบทความนี้แล้วท่าน ทึ่ง....   มา... มะ ..  มา  .. ด้วยกัน ...ผมจะพาท่าน .....สำรวจตู้ยารอบบ้าน...



       1. ดอกมะลิ 

           บ้านเราใช้ "ดอกมะลิ" เป็นยาหอมมาตั้งแต่โบราณแช่ในน้ำดื่ม  เพราะดื่มแล้วกลิ่นหอมรู้สึกผ่อนคลาย  มีคนพบว่าในดอกมะลิมีน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้   น่าทึ่งกว่านั้นคือ  ยังช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย  ช่วยในการขับน้ำย่อย ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบ (คือ กล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนือการควบคุมจากอำนาจจิตใจ ทำงานอย่างอัตโนมัต ส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อของอวัยวะภายใน )  สรรรพคุณอื่น ๆ มีอะไรบ้าง

                 * แก้ปวดหัว     นำดอกมะลิมาตำให้แหลก  แล้วพอกขมับทันที ทิ้งไว้สักครู่จึงล้างออก    อาการจะทุเลา

                * แก้ผื่นคัน        นำดอกมะลิสดมาตำให้แหลก พอกผิวทิ้งไว้สักครู่  จะรู้สึกเย็นสบายผิวขึ้น

                * แก้ท้องอืด      นำดอกมะลิสด หรือดอกตากแห้ง มาต้มกับน้ำเดือด ประมาณ 5-10 นาที  ดื่มทันที่



          2. ดอกอัญชัน

              สาร ฟลาโวนอยด์ และแอนโทไซอะนิน ที่มีอยู่ในสีม่วงอมน้ำเงิน  มีคุณสมบัติ  ฟลาโวนอยด์ ช่วยล้างอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ต้านเชื้อโรค  ส่วน แอนโทไซอะนิน   ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง   สารทั้ง 2 อย่างรวมกัน มีคุณสมบัติมากมายเช่น

               *  แก้ผมบาง แก้คิ้วบาง แก้ผมร่วง แก้หัวมี "แผลเป็น"ผมไม่ขึ้น   วิธีใช้ง่าย ๆ  นำดอกสดขยี้ คิ้ว หรือ แผลเป็น  เป็นประจำ วันละ 2 ครั้ง  เช้า - เย็น  กรณีผมบางผมร่วง ให้คั้นเอาน้ำสดจากดอก มาพอก หมักผมก่อนสระ จะช่วยให้ผมดำเงางามขึ้น

               *  แก้ปวดฟัน  ( สูตรโบราณ ) นำดอกอัญชันสดมาถูฟัน จะช่วยลดอาการอักเสบและฟันแข็งแรงขึ้น

              *  เมนูเพื่อสุขภาพ  หุงข้าวน้ำดอกอัญชัน  มากคุณค่า สีสวยงามน่ากิน  ,แกงเลียงหรือแกงส้มใส่ดอกอัญชัน ,ดอกอัญชันชุบแป้งทอด,ยำดอกอัญชัน(ชุบแป้งก่อนยำก็ได้..อร่อยมาก) หรือน้ำดอกอัญชัน  หรือ ปั่นก็ได้   ... ลองดูนะ ..


         3. ดอกเก็กฮวย   ( หรือ เบญจมาศ )

              แก้ร้อนใน ระบบขับถ่าย ฆ่าเชื้อโรค แก้อักเสบ  บำรุงระบบไหลเวียนเลือด   ( ชาวจีน ยกให้เก็กฮวยเป็นยา  "อายุวัฒนะเลยที่เดียว"  )

              *   แก้แผลปากร้อนใน เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดหัววิงเวียน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ท้องเสีย    นำดอกเก็กฮวย สด หรือ แห้ง มาต้มกับน้ำเดือดประมาณ 5 นาที  ดื่มเป็นชาร้อนหรือ ชาเย็น  เติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรวด หรือเชื่อใด้ ตามใจชอบ

              *   แก้แผลเป็นฝีหนอง ใช้ดอกสดมาตำ พอกแผลสักครู่  เช็ดออก ทำประมาณวันละ  2 - 3  ครั้ง



          4. ดอกแก้ว

            *  ดอกสดต้มกับน้ำร้อน ดื่มแก้ไอ แก้ไข้ แก้วิงเวียน


          5. ดอกเข็ม

            *  แก้อาการตาแดง ตาแฉะ  โดยการนำมาปรุงกับอาหาร เช่น ชุบแป้งทอด แกงต่าง ๆ เป็นต้น


          6. ดอกดาวเรือง

            *  ใช้ดอกสด ต้มกับน้ำร้อน ดื่มแก้ไอ แก้ไข้ ละลายเสมหะ รักษาหลอดลมอักเสบ ช่วยขับลมเวลาท้องอืด   โบราณ ใช้ดอกอ่อน ๆ ต้มลวก กินกับน้ำพริก



          7. ดอกทานตะวัน 

            *  กลีบดอกต้ม ดื่มช่วยบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ ฐานรองดอก ( เป็นยาครอบจักรวาล )  ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน  ปวดหัว ปวดฟัน ปวดท้อง โรคกระเพาะ ปัสสาวะขัด


          8. ดอกเทียนบ้าน

            *  แก้อักเสบ ฆ่าเชื้อโรค  จากแผลผุพอง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เล็บเป็นห้อเลือด ติดเชื้ออักเสบที่เล็บ   โดยการนำมาตำพอกแผล


          9. ดอกบัว ( เกษร ดอกบัว หนึ่งในยา อายุวัฒนะของไทย ใช้ผสมในสูตรยาไทยมากมาย )

            *  แก้ปวดหัว วิงเวียน กระตุ้นการไหลเวียนเลือด แก้ไข้ ขับเสมหะ   ถ้านอนไม่หลับคนสมัยใช้ต้มดอกบัวแรกแย้มดื่มก่อนนอน


         10. ดอกลั่นทม

            *  เป็นยาระบาย  ( ชาวเขมรใช้กินเพื่อถ่ายพยาธิ)    ศึกษาให้ดีก่อนกินเพราะดอกลั่นทมบางชนิดมีพิษ"


          11.ดอกชบา

            *   ตำราจีน ใช้กลีบชบาแดง ขยี้ทาคิ้วให้ดก   คั้นนำจากกลีบผสมนำมันมะกอกพอกบำรุงเส้นผมและหนังศรีษะ

            *   ตำราอินเดีย   ปวดท้องประจำเดือน เลือดประจำเดือนมากหน้าซีด   ให้ดื่มนำต้มกลีบดอกสด   หรือรอบเดือนไม่มา ให้กินดอกชบาตูมบดวันละ 3 ดอก


     ถ้าเรารู้จักเข้าไกล้ธรรมชาติให้มากกว่านี้คนเราอาจจะไม่ต้องพึ่งยาแผนปัจจุบันเลยก็ได้   ( กินให้อิ่ม นอนให้หลับ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  อยู่กับสมุนไพรและธรรมชาติ  ชีวิตจะได้ยืนยาวเหมือนคนสมัยก่อน )

ช่อกุหลาบก็สามารถสื่อความหมายได้



ช่อกุหลาบสื่อความหมาย


               จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้


1 ดอก       รักแรกพบ
2 ดอก       แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
3 ดอก       ฉันรักเธอ
7 ดอก       คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
9 ดอก       เราสองคนจะรักกันตลอดไป
10 ดอก     คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
11 ดอก     คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
12 ดอก     ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
13 ดอก     เพื่อนแท้เสมอ
15 ดอก     ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
20 ดอก     ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
21 ดอก     ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ
36 ดอก     ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
40 ดอก     ความรักของฉันเป็นรักแท้
99 ดอก     ฉันรักเธอจนวันตาย
100 ดอก   ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
101 ดอก   ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
108 ดอก   คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
999 ดอก   ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย

ตำนานดอกกุหลาบ(มัทนะพาธา)


มัทนะพาธา




           จอมเทพสุเทษณ์เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชมสุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวิน ใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอย มิมีสติสมบูรณ์เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วยมิว่า สุเทษณ์
จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนา ให้ไปเกิดในโลกมนุษย์
          มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่น กลิ่นหอม เพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ ที่งามทั้งกลิ่น ทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ 1 เดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมาน เพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง
        นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนาม กาละทรรศิน  มาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน ในขณะที่จะทำการขุด ก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี
         วันเพ็ญในเดือนหนึ่ง ท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระ ได้เสด็จออกล่าสัตว์ ในป่าหิมะวัน และได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤษี ครั้นได้เห็น นางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงาม ก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้นทันที
          ท้าวชัยเสน รำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางมัทนา ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาได้พรรณาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความ จึงเผยตัวออกมา ทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกัน จนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น
          มัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพ และพิธีวิวาหมงคลในป่านั้นเสียก่อน   ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้ว แต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างใน ด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่า พระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสน กำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี
         เมื่อพระนางจัณฑี เจรจา ค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนคร ให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลี และวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนา โดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสน ว่านางมัทนาป่วย
         ครั้นเมื่อท้าวชัยเสน รีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์ กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ ๆ ต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาใ ห้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์  ท้าวชัยเสนกริ้วนัก รับสั่งให้ศุภางค์ ประหารนางมัทนา แต่ศุภางค์ไม่ยอม  ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่ พระนางจัณฑี ด้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดา ซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนาง ที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตา เอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง
         ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสน
เพื่อ สารภาพความทั้งปวง ว่าพระนางจัณฑี เป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิด และละอายต่อบาปที่เป้นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร  ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้ว คั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะ เข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้นไ ด้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศิน นำพากลับสู่อาศรมเดิ ม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย
         ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสี นั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่า อันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามี ก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่
ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำ พิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้ สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธ และอ้างว่า อันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนัก สาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป
        เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนา ด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรัก แล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา  เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสน ก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน
และขอให้ฤาษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงาม มิโรยรา ตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิ ประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคน และดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้

                   ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบ เป็นสัญญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป

ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย

เพลงเพราะๆสมัยคุณตาคุณยาย

ดอกไม้ประจำราศีเกิด




ดอกไม้ประจำราศี

ศาสตร์แห่งดอกไม้คือความเกี่ยวเนื่องระหว่างดอกไม้กับจักรราศี ดอกไม้ชนิดไหนที่เป็นดอกไม้แห่งจักรราศีของเรา มันก็จะบอกถึงบุคลิกในทุกด้านของเจ้าของราศีนั้น


ดอกเบญจมาศ เป็นดอกไม้ประจำราศีมังกร ผู้ที่เกิดระหว่าง 22 ธ.ค.-19 ม.ค. เป็นดอกไม้ตัวแทนชนชั้นสูง ราชวงศ์ หรือกษัตริย์ ทนนานและมีพลังฉลาดแฝงอยู่มากเป็นพิเศษ คนราศีมังกรจึงเต็มไปด้วยความฉลาด มีความคิดวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เป็นดอกไม้แห่งความสำเร็จจึงมักจะมีผู้ให้การช่วยเหลือหรืออุปถัมภ์ตลอด อย่างที่บอกแล้วว่าเป็นนักวางแผนที่ดี มีการวางแผนด้านการเงินเป็นเลิศ จึงเหมาะกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ อาชีพที่เหมาะคือ วิศวกร สถาปนิก ผู้ผลิตรายการสื่อต่าง ๆ งานเกี่ยวกับการเงิน ด้านความรักเป็นคนที่จริงใจและซื่อสัตย์ เพราะคนราศีมังกรจะเป็นพวกหัวอนุรักษนิยมเกี่ยวกับประเพณีและความเชื่อมาก

ดอกกล้วยไม้ เป็นดอกไม้ประจำราศีกุมภ์ ผู้ที่เกิดระหว่าง 20 ม.ค.-18 ก.พ. กล้วยไม้เป็นไม้ที่ต้องการการดูแลอย่างดี เป็นตัวแทนของการเอาใจใส่ดูแลอย่างลึกซึ้ง กล้วยไม้มักจะถูกจัดไว้ในที่ที่โดดเด่นโดยมี ดอกไม้อื่นแวดล้อม ชาวราศีกุมภ์จึงเต็มไปด้วยการเอื้ออาทรผู้คนรอบข้าง มีความฉลาดในตัวเอง รักธรรมชาติ ใจกว้าง ชาวราศีกุมภ์จะชอบสิ่งของไฮเทค จึงเหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โทรทัศน์ นักเขียน ศิลปิน อีกด้านก็สนใจเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร์ และของโบราณ เขาสามารถผสมผสานศาสตร์เก่าและใหม่เข้ากันได้อย่างดี ด้านความรักจะชอบยึดมั่นในคำสัญญา ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาก

ดอกคาร์เนชั่นแดง เป็นดอกไม้ประจำราศีมีน ผู้ที่เกิดระหว่าง 19 ก.พ.-20 มี.ค. เป็นตัวแทนของศิลปิน เป็นดอกไม้แห่งความฝันอันลึกลับ มีความคิดจินตนาการสูง อาชีพที่เหมาะสมจะเป็นพวกนักแสดง นักเขียน จิตกร นักแต่งเพลง นักวิจารณ์อาหาร นักสังคมสงเคราะห์ คนราศีมีนมีอารมณ์ปรวนแปรง่าย ด้านความรักก็มักจะอ่อนไหว อารมณ์รักปรวนแปรแต่ก็เขาก็เป็นคนมีเส่นห์เร้าใจใช่เล่น มีความชอบส่วนตัวในเรื่องศาสนา และมีสัมผัสพิเศษด้านจิตวิญญาณ หรือ มีสัมผัสที่ 6

ดอกลิลลี่ เป็นดอกไม้ประจำราศีเมษ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 มี.ค.-19 เม.ย. ลิลลี่เป็นดอกไม้แห่งความโดดเด่นและการเป็นผู้นำ นับเป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่มักจะถูกวางไว้ในจุดที่สูงส่ง แต่ถึงแม้จะอยู่ในจุดที่ไม่สูงนักแต่ความเด่นของดอกลิลลี่ก็มักจะเป็นจุดสนใจเสมอ เหมือนกับคนราศีเมษที่จะมีความโดดเด่นกว่าคนอื่น นักบริหารธุรกิจ นักแสดง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ หรือนักประดิษฐ์คิดค้นต่าง ๆ เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับคนราศีเมษ ด้านความรักเป็นคนโรแมนติก ชอบการครอบครองและเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

ดอกลีลาวดี เป็นดอกไม้ประจำราศีพฤษภ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 20 เม.ย.-20 พ.ค. บุคลิกของดอกลีลาวดีคือการรอคอยสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง มีการคิดและวางแผนระยะยาวอย่างรอบคอบและสุขุม รักสงบและมองโลกในแง่บวก จึงเป็นคนโกรธยากและมีความจำเป็นเลิศ คนราศีพฤษภจะใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและเป็นนักลงทุนที่ดี เหมาะที่จะทำอาชีพแพทย์ สถาปนิก วิศวกร โบรกเกอร์หุ้น มัณฑนากร เขาเป็นพวกชอบความงามตามธรรมชาติและมีสัมผัสพิเศษในเรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ส่วนเรื่องความรักจะเป็นคนรักษาสัญญา เห็นอกเห็นใจและปกป้องคู่รักดี

ดอกเล็บมือนาง เป็นดอกไม้ประจำราศีเมถุน ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 พ.ค.-20 มิ.ย. เล็บมือนางเป็นดอกไม้ที่มีความงามเฉพาะตัว มีเสน่ห์แบบง่าย ๆ คนราศีนี้จึงมีความคิดเปิดกว้างและยืดหยุ่นสูง อาชีพที่เด่นและเหมาะที่สุดคือการเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักดนตรี ศัลยแพทย์ ช่างภาพ นักกวีและงานที่เกี่ยวกับศิลปะทุกชนิด แต่คนราศีเมถุนเป็นพวกรสนิยมสูงรายได้ต่ำ จึงมักจะสร้างหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่บ่อยครั้ง ด้านความรักเป็นคนอ่อนไหวง่าย ชอบหว่านเสน่ห์และเจ้าชู้ เนื่องจากชอบความรักแบบตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

ดอกบัว เป็นดอกไม้ประจำราศีกรกฎ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 21 มิ.ย.-22 ก.ค. จัด เป็นดอกไม้แสนสวย อ่อนหวานและสงบ เรียบร้อย เป็นระเบียบ แต่ก็มักจะจมปลักอยู่กับความฝันอันสวยงามที่วาดขึ้นโดยไม่ยอมตื่น ขึ้นมาพบกับความจริงของชีวิต และมักจะคาดหวังสูง ให้ความใส่ใจในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ เป็นคนไม่ชอบความฟุ่มเฟือยนัก แต่หากเป็นเรื่องของการตกแต่งบ้านชาวดอกบัวจะยอมทุ่มไม่อั้น อาชีพที่เหมาะสมคือ นักจิตวิทยา นักลงทุนในตลาดหุ้น หรืองานที่ช่วยประสานงานโครงการต่าง ๆ ด้านความรักเป็นคนโรแมนติก รักคนยาก แต่ถ้าลองได้รักแล้วก็จะซื่อสัตย์มาก ชอบความรักแบบไม่หวือหวาโลดโผน

ดอกทานตะวัน เป็นดอกไม้ประจำราศีสิงห์ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ก.ค.–22 ส.ค. ดอกทานตะวันจะเต็มไปด้วยความเป็นมิตร ร่าเริง สนุกสนาน ชาวราศีสิงห์ยังเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจจากใคร เพราะเขาต้องการแสวงหาความสุขใส่ตัวมากกว่าการต้องระวังตัวท่ามกลางคนหมู่มาก เป็นคนรักและชื่นชอบธรรมชาติ แต่ดันชอบของฟุ่มเฟือย อาชีพที่เหมาะสมคือการเป็นนักเขียน ทนายความ นักพูด ส่วนความรักมักจะไม่ชอบการผูกมัด แต่ชอบแสดงออกเรื่องรักและเป็นคนโรแมนติก เรียกว่าเป็นคนเจ้าชู้เล็ก ๆ ก็ว่าได้

ดอกทิวลิป เป็นดอกไม้ประจำราศีกันย์ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ส.ค.-22 ก.ย. ดอกทิวลิปเป็นตัวแทนของความนิ่มนวล และการถูกขัดเกลาอย่างดี ชาวราศีกันย์จึงเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าคนในราศีใด ๆ ชอบเห็นใจผู้อื่น และฉลาดหลักแหลม นอกจากนี้ยังเจ้าระเบียบ และตรงต่อเวลาอย่างมาก จุดเด่นอีกอย่างที่เป็นที่อิจฉาของใคร ๆ ก็คือเป็นคนที่เก็บเงินเก่ง อาชีพที่เหมาะ คือ แพทย์ บรรณารักษ์ นักวิจารณ์ละครและงานศิลปะ สำหรับเรื่องความรักนั้นจะเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

ดอกกุหลาบ เป็นดอกไม้ประจำราศี ตุล ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ก.ย.–22 ต.ค. กุหลาบเป็นดอกไม้ที่ประณีต สวยงาม โดดเด่น คนราศีตุลจึงมีเสน่ห์ในวงสนทนาเป็นพิเศษ แต่เขาไม่ใช่คนมีระเบียบมากนัก อาจจะรกรุงรังมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ นักดนตรีระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก มัณฑนากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ เป็นอาชีพที่เหมาะสมกับคนราศีนี้ที่สุด เขายังเป็นคนมีความเชื่อด้านความรักอย่างลึกซึ้ง ความรักของเขาจึงเต็มไปด้วยความโรแมนติกและอ่อนหวาน แต่ก็ให้อิสระด้านความคิด

ดอกกระบองเพชร เป็นดอกไม้ประจำราศีพิจิก ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 23 ต.ค.-21 พ.ย. ดอกกระบองเพชรมีความลึกลับทั้งด้านการเกิดและกลีบดอก ชาวดอกกระบองเพชรจึงมีความลับเยอะ และสิ่งนี้ที่ส่งให้เขามีเสน่ห์น่าค้นหาตลอดเวลา เป็นคนเงียบ ๆ เก็บงำเรื่องราวของตนเองไว้โดยไม่บอกให้ใครรู้ ไม่ชอบออกงานสังคม เขาเหมาะที่จะทำอาชีพนักโบราณคดี ทนายความ ที่ปรึกษาการลงทุน เภสัชกร ศัลยแพทย์ ด้านความรักจะเป็นคนเข้มงวดมาก เจ้าอารมณ์ แต่ก็มีความอ่อนไหวและลึกซึ้ง เขายังมีเสน่ห์ดึงดูดใจเรื่องบนเตียงเป็นอย่างมาก แถมยังเป็นคู่รักที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความปรารถนา

ดอกเบิร์ด ออฟ พาราไดส์ เป็นดอกไม้ประจำราศีธนู ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ 22 พ.ย.–21 ธ.ค. ผู้เกิดราศีนี้จะมีความสนุกสนานในชีวิต ชีวิตเต็มไปด้วยความพยายามและทะเยอทะยาน แต่ก็มีอารมณ์ผ่อนคลายและยืดหยุ่น จึงเป็นคนมองโลกในแง่ดี เขาจึงเหมาะที่จะเป็นนักเดินทาง นักวาดการ์ตูน นักแสดงตลก นักการเมือง สัตวแพทย์ และนักบิน ด้านความรักจะเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว มีความซื่อสัตย์ในรัก และชอบการผจญภัย.


Sympathy Flowers By Everyday Flowers

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

มาดูดอกไม้ประจำวันเกิดกัน

ดอกไม้ประจําวันเกิด


สมัยโบราณเชื่อกันไว้ว่า ในแต่ละวันจะมีต้นไม้และดอกไม้ประจำวัน
ซึ่งเชื่อกันว่า หากใครที่ปลูกต้นไม้หรือดอกไม้ประจำวันเกิด แล้วต้นไม้หรือดอกไม้เจริญเติบโตได้ดี ชีวิตก็จะก้าวหน้า ร่างกายแข็งแรงหรือถ้าออกดอกเบ่งบาน เชื่อกันว่าจะมีความสุขความสมหวังเสมอ ตรงกันข้าม หากดอกไม้หรือต้นไม้เกิดเหี่ยวเฉาลงก็จะเป็นลางเตือนเจ้าของต้นไม้ ดอกไม้ได้เหมือนกัน
หากว่าเธอคนนั้นเกิดวัน...



เธอที่เกิดวันอาทิตย์ ต้นไม้ประจำวันเกิดเป็น ต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือลัน เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย




เธอที่เกิดวันจันทร์ ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย
ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน





เธอที่เกิดวันอังคาร ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุขดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้
โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เธอที่เกิดวันพุธ ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพดอกไม้ประจำวันเกิดคือ คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน



เธอที่เกิดวันพฤหัสบดี เธอที่เกิดวันนี้ มีต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี
หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ




เธอที่เกิดวันศุกร์ ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน
ส่วนดอกไม้ที่ถูกแลกโชคดีของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือหรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง




เธอที่เกิดวันเสาร์ จะมีต้นไม้พวก ตันกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด และดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

แหล่งที่มาhttp://www.arip.co.th/blog.php?blogger=BoyZaXXX&id=63&keyword=

การเลือกซื้อไม้ประดับ

การเลือกซื้อไม้ประดับ


การเลือกซื้อไม้ประดับก่อนที่จะซื้อต้นไม้เข้ามาปลูกภายในบ้าน ควรจะต้องมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเสียก่อน ไม่ใช้ไปพบเข้าโดยบังเอิญและเกิดชอบใจก็ซื้อกลับบ้าน คุณจะต้องแน่ใจก่อนว่าสภาพแวดล้อมภายในบ้านเหมาะกับต้นไม้ชนิดที่ต้องการหรือไม่ ถ้าคุณเริ่มต้นที่จะปลูกต้นไม้เป็นครั้งแรก อาจเริ่มต้นโดยการซื้อต้นไม้ที่มีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ เมื่อเลี้ยงให้รอดและเจริญเติบโตได้แล้วก็ค่อยเขยิบขึ้นไปทีละขั้นจนคุณมีความชำนาญ ค่อยหาพันธุ์ไม้ที่เลี้ยงยากมาปลูก
การปลูปต้นไม้ภายในบ้านนั้นคุณต้องไม่ลืมว่าต้นไม้ต้องการแสง น้ำ อากาศ อุณหภูมิ ความชื้นและอาหาร เช่นเดียวกับต้นไม้ที่อยู่นอกบ้าน เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะซื้อต้นไม้เข้ามาประดับภายในบ้าน คุณต้องรู้ถึงความต้องการของต้นไม้ว่าต้นไม้ชนิดนั้นต้องการปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตมากน้อยบแค่ไหน เพราะต้นไม้แต่ละอย่างย่อมมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คุณอาจถามมาจากผู้ขายโดยตรงก็ได้
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณต้องคำนึงถึงก็คือถ้าในบ้านของคุณมีเด็กหรือเลี้ยงสุนัข คุณตะต้องมีการเตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าเสียก่อน เช่นกรณีที่คุณจะตั้งกระถางต้นไม้ไว้ที่พื้น คุณจะต้องหาพืชที่ทนทานต่อการเสียดสีหรือการจับต้องพอสมควร ส่วนต้นไม้ที่บอบบางเสียหายง่าย ควรจัดให้อยู่ในที่สูงหรือบริเวณที่จะไม่ถูกการจับต้องเสียดสีบ่อยนัก อีกข้อหนึ่งที่คุณไม่ควรจะลืมก็คือ คุณมีเวลาเหลือพอที่จะดูแลต้นไม้ที่คุณุซื้อมาปลูกบ้างหรือไม่ถ้าคุณพร้อมแล้วก็ไปเลือกซื้อต้นไม้มาประดับบ้านกันได้เลย ข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อไม้ประดับ1. ควรซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียงเชื่อถือได้ หรือซื้อจากสวนที่ผลิตโดยตรง
2. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ตั้งขายอยู่นอกร้าน
3. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่มีตำหนิหรือร่องรอยของความเสียหายจากโรคและแมลง
4.ตรวจดูกระถางและกันกระถางให้ดีอย่าเลือกต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถางที่มีรอยร้าวหรือแตกอย่างเลือกต้นไม้ที่รากโผล่ออกมาจากรูก้นกระถาง
   แล้วเป็ฯอันขาด เพราะทั้งสองอย่าง่นี้จะทำให้เกิดความเสียหายในขณะเคลื่อนย้ายได้
5. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ดินในกระถางแฉะ เพราะนั้นแสดงว่าน้ำในกระถางไม่สามารถระบายออกไปได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหารากและโคนเน่าได้
6. ในกรณ๊ที่เป็นไม้ดอก ควรเลือกเอาต้นที่ดอกกำลังตู่มเต็มที่ยังไม่บาน
7. จะต้องดูจนแน่ใจว่าต้นไม้ที่ซื้อนั้นไม่มีร่องรอยหรือตำหนิใด ๆ เลย
8. ไม่ควรซื้อต้นไม้ที่ใบเหี่ยว ใบลู่ลง หรือได้รับความเสียหายเป็นอันขาด
9. ไม่ควรซื้อต้นไม้เพราะเห็นว่าราคาถูกเป็นอันขาด
10. ขณะนำต้นไมักลับบ้าน ควรระมัดระวังอย่าให้ต้นไม้ได้รับความกระทบกระเทือนโดยเด็ดขาด
แหล่งที่มา http://www.maipradabonline.com/saramaipradab/advise2.htm

ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับ ราชพฤกษ์




ราชพฤกษ์ หรือ คูน (อังกฤษ: Cassia fistula) เป็นไม้ดอกในตระกูล Fabaceae เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียใต้ ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถาน ไปจนถึงอินเดีย พม่า และศรีลังกา ดอกราชพฤกษ์เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในที่โล่งแจ้ง สามารถปลูกได้ทั้งดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียว ทนต่อความแห้งแล้งและดินเค็มได้ดี แต่ไม่ทนในอากาศหนาวจัด ซึ่งอาจติดเชื้อราหรือโรคใบจุดได้
ลักษณะราชพฤกษ์เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูง 10-20 เมตร ดอกขึ้นเป็นช่อยาว 20-40 เซนติเมตร แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-7 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีเหลืองขนาดเท่ากัน 5 กลีบ ผลยาว 30-62 เซนติเมตร และกว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน และมีเมล็ดที่มีพิษเป็นจำนวนมาก
เกี่ยวกับชื่อชื่อของราชพฤกษ์นั้นมีการเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกราชพฤกษ์ว่า คูน เนื่องจากจำง่ายกว่า (แต่มักจะเขียนผิดเป็น คูณ) ทางภาคเหนือเรียกว่า ลมแล้ง ทางภาคใต้เรียกว่า ราชพฤกษ์ ลักเกลือ หรือ ลักเคย ชาวกะเหรี่ยงและในกาญจนบุรีเรียกว่า กุเพยะ
การปลูกและการดูแลรักษา
การปลูกในช่วงแรกๆต้นราชพฤกษ์จะเจริญเติบโตได้ช้าในระยะเวลาประมาณ 1-3 ปีแรก หลังจากนั้นต้นราชพฤกษ์จะเจริญเติบโตเร็วขึ้น เปลือกจะเป็นสีน้ำตาลเรียบ มีรากแก้วยาวสีเหลือง และ มีรากแขนงเป็นจำนวนมาก เมื่อต้นราพฤกษ์มีอายุ 4-5 ปี จึงออกดอกและเมล็ด
 การดูแลรักษาแสง ต้นราชพฤกษ์ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ ต้นราชพฤกษ์ต้องการปริมาณน้ำน้อย ควรให้น้ำ 7-10 วัน/ครั้ง อายุประมาณ 4 ปี สามารถทนต่อสภาพธรรมชาติได้
ดิน ต้นราชพฤกษ์เจริยเติบโตได้ดีดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียว
ปุ๋ย ต้นราชพฤกษ์นิยมใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในการบำรุงรักษา อัตรา 2-3 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์ ต้นราชพฤกษ์นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
โรค ต้นราชพฤกษ์ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพธรรมชาติพอสมควร
ศัตรู ต้นราชพฤกษ์มีศัตรูหนอนเจาะลำต้น (Stem boring caterpillars) จะมีอาการ ลำต้นหรือยอดเป็นรู เป็นรอยเจาะทำให้กิ่งหักงอ
การป้องกัน ต้นราชพฤกษ์ควรปลูกโดยรักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก หรือกำจัดแมลงพาหะ ใช้ยาเช่นเดียวกับการกำจัด
การกำจัด ต้นราชพฤกษ์นิยมใช้ยาไดเมทโธเอท หรือ เมโธมิล อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก
สรรพคุณส่วนต่างๆ ของต้นราชพฤกษ์มีประโยชน์ดังนี้
ฝักแก่ เนื้อสีน้ำตาลดำและชื้นตลอดเวลา มีรสหวาน สามารถใช้เป็นยาระบายได้ โดยนำฝักมาต้มกับน้ำ และเติมเกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอนหรือก่อนรับประทานอาหาร นอกจากนั้น ฝักแก่ยังมีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมน้ำแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน สารละลายที่กรองได้สามารถฉีดพ่นกำจัดแมลงและหนอนในแปลงผักได้[1] ฝักแก่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้มด้วยเตาเศรษฐกิจ มีขนาดที่พอเหมาะ ไม่ต้องผ่า เลื่อยหรือตัด เนื้อของฝักแก่ใช้แทนกากน้ำตาลในการทำหัวเชื้อจุลินทรีย์และจุลินทรีย์ขยาย
ฝักอ่อน สามารถใช้ขับเสมหะได้
ใบ สามารถนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคได้
ดอก แก้แผลเรื้อรัง
ความเชื่อต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้มงคลนิยมใช้ประกอบพีธีที่สำคัญ เช่น พีธีเสาไม้หลักเมือง เป็นส่วนประกอบในการทำคฑาจอมพล และ ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ฯลฯ
คนไทยในสมัยโบราณเชื่อว่า ควรปลูกต้นราชพฤกษ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่อยู่อาศัย เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเรือนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นทวีคูณ ซึ่งความเป็นจริงคือทิศดังกล่าวจะได้รับแดดจัดตลอดช่วงบ่าย จึงควรปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ลดความร้อนและทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
คนไทยในสมัยโบราณยังมีความเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้ประจำบ้านจะช่วยให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ด้วยคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับว่าต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าสูงและยังเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติไทยอีกด้วย นอกจากนี้มีความเชื่อว่า ใบของต้นราชพฤกษ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะในพิธีทางไสยศาสตร์ให้ใบทำน้ำพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ได้ผลดีดังนั้นจึงถือว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลนาม
แหล่งที่มาhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C

เพลงเพราะๆที่เกี่ยวกับดอกไม้

ดอกไม้ประจำชาติไทย

เกร็ดพรรณไม้
ต้นไม้...ดอกไม้...ประจำชาติไทย  




            จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้ประชาชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชักชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
             กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวข้องกับประเพณีไทยและประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอครั้งนั้นไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ  สัตว์ ดอกไม้ ที่คนไทยคุ้นเคยและพบเห็นบ่อย เช่น พระปรางค์วัดอรุณฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เช่นเดียวกับ ต้นราชพฤกษ์ และ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ทุกวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากมายทั่วประเทศไทย
            ข้อสรุปเรื่องสัญลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน กระทั่งช่วงปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม และการพิจารณาที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะมีความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้เป็นต้นไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน ทนทาน ปลูกขึ้นได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อต่างกันในแต่ละภาค เช่น ลมแล้ง คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆ เช่น ลงหลักเมือง ลงเสาเอก ทำคฑาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงสวยงาม สีเหลืองอร่ามเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความงามของช่อดอก และความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบประดับไว้บนอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนอีกด้วย

แหล่งที่มาhttp://www.panmai.com/Tip/Tip12/Tip12.shtml